เพิ่งกลับมาถึงประเทศไทยคะ jet lag อยู่ประมาณ 2-3 วัน ถือว่าไม่มากนะคะถ้าเทียบกับคนอื่นๆ บางคนกินเวลาไปเกือบเดือนเลย(แม่ของนิคเป็นค่ะหลังจากมาเที่ยวที่ประเทศไทย 2 อาทิตย์) กว่าที่ร่างกายจะฟื้นคืนสภาพเข้าสู่โหมดเดิม แพมไม่ได้เขียนอัพเดทบล็อคเกี่ยวกับเม็กซิโกมานานมากแล้วค่ะ เป็นเพราะช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่นแทบจะไม่มีเวลาเลยค่ะ ไปนู้นไปนี่อยู่ตลอดเวลา พอกลับมาถึงบ้านมันก็เพลียแล้วก็อยากนอนเลย เอาเป็นว่าเรามาเริ่มกันเลยกับวันที่ 3 ในประเทศเม็กซิโก
วันที่ 3 ในประเทศเม็กซิโก พวกเราทั้งสองคนตื่นนอนกันในเวลาประมาณ 9 โมงเช้าค่ะ วันนี้ตื่นเช้าหน่อยเพราะคุณพ่อของนิคมาปลุก(คือคุณพ่อหิวข้าว) พวกเรามีนัดไปกินข้าวกันนอกบ้านค่ะสำหรับมือเช้า ร้านอาหารที่เราไปกินก็ใช่ว่าจะอยู่ไกลจากบ้านมากนะ ขับรถไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ เป็นร้านเล็กๆที่ขายอาหารจำพวกทาโก้ ตอติญ่า อาหารเม็กซิกันทั่วไปและน้ำผลไม้ปั่น ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราคงเหมือนร้านอาหารตามสั่งหรือไม่ก็ร้านก๋วยเตี๋ยว
บรรยากาศร้านอาหารริมทางแถวๆบ้านค่ะ คนเยอะเลยนะคะ เพราะรสชาดอร่อย ฝีมือดีและราคาไม่แพงมากเลย ถือว่าคุ้ม…ร้านเหมือนเป็นร้านของครอบครัว มี 3 สาวควบคุม คนนึงปั่นน้ำ คนนึงทำตอติญ่าและเมนูอาหารต่าง ส่วนอีกคนเป็นวัยรุ่น เด็กสุดในร้านเป็นเด็กเสริฟ ดูท่าทางจะเหนื่อยเหมือนกันนะเพราะร้านคนเยอะตลอด เห็นเจ้าของร้านเดินกันสาละวนเลย
อันนี้เป็นเมนูคร่าวๆที่ทางร้านนำเสนอให้แก่ลูกค้าคะ ปกติคนเม็กซิกันเวลาเค้ามาสั่งอาหารกินเค้าจะไม่ดูเมนูกันละ เดินตรงไปที่คนขายแล้วบอกเลยว่าอยากกินอะไร จากป้ายราคาจะเห็นว่าถูกมากๆ เริ่มตั้งแต่ราคา 10 เปโซหรือประมาณ 20 บาทสำหรับทาโก้ 1 อัน (ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราหรือเมกาคงราคาร้อยอัพอ่า)
น้องคนนี้เป็นทั้งเชฟและเป็นทั้งคนเสริฟ เด็กสุดละคะในร้าน ดูจากภายนอกเป็นคนมีสไตล์มาก ผมและเสื้อผ้าแฟชั่นเหมาะสมกันจริงๆ ช่วงนี้นิคบอกว่าเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กที่นี่ค่ะ(เราเที่ยวกันเดือนกรกฎาคม)
สีขาวๆเป็นเส้นๆ ตอนแรกแพมคิดว่าเป็นเนื้อไก่ฉีก คิดอยู่ในใจคนเดียว อันนี้เป็นทาโก้เนื้อไก่แน่นอน(เห็นอะไรเป็นแผ่นๆ แพมเรียกทาโก้หมดเลยในตอนแรก 555 ) แต่มารู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่เนื้อไก่ มันคือชีสเม็กซิกัน (Mexican Cheese) รสชาดคล้ายๆชีสมอซาเรลล่าที่ขายตามซุปเปอร์มาเก็ตบ้านเราแต่มันจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าคือจะเหนียวและมันกว่า แค่ชีสเพียวๆเหมือนกำลังเคี่ยวหมากฝรั่ง แต่เวลามันโดนความร้อนแล้วอร่อยกว่าเดิมอีกนะ ยืดๆ เหนียวๆ กัดกินกับตอติญ่าอร่อยมากจริงๆค่ะ
น้ำสีชมพูในขวดนี้ไม่ใช่น้ำลิ้นจี่นะคะ มันเป็นน้ำฝรั่งบ้านเค้า ฝรั่งที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราที่เป็นลูกสีเขียว กรอบๆ ที่นี่มันจะเป็นลูกสีแดงๆ เนื้อมันจะนุ่มๆ คนที่นี่เค้าจะกินฝรั่งตอนมันสุกเท่านั้น(ถึงว่าเวลาแฟนมากินฝรั่งที่เมืองไทย ไม่ชอบเลย ซื้อมาไม่เคยกินสักคำ เค้าบอกแพมว่า มันไม่สุกนะเนี่ย กินได้ยังไง – -“) คนที่เม็กซิโกจะเอาฝรั่งบ้านเค้ามาปั่นเป็นน้ำผลไม้กิน(น้ำผลไม้ปั่นที่นี่ไม่ใส่น้ำแข็งเลยนะคะ สักก้อนก็ไม่มีเลย…ถ้าแม่แพมมาเที่ยวเม็กซิโก แม่คงจะชอบน้ำปั่นที่นี่มากๆ เพราะแม่แพมไม่ชอบน้ำแข็งเลย ชีบอกว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ควรจะกินน้ำอุณหภูมิห้อง)
อันนี้คือหน้าตาของเมนูที่แพมสั่งค่ะ ชื่อ “เกเซดีย่า” เป็นแผ่นตอติญ่าข้าวโพด สอดไส้ชีสเม็กซิกัน เห็ด หอมหัวใหญ่นิดนึง แล้วราดด้วยซอสซัลซ่าสีเขียวและสีแดง(ถ้าใครไม่ชอบเผ็ด ก็บอกเค้าว่าไม่เอาซอสซัลซ่า) สำหรับแพมคำแรกที่กัด แพมว่ามันขาดเค็มไปหน่อย แพมเลยเหยาะเกลือไปเยอะเลย แต่รสชาดดีขึ้นมากๆ(สงสัยคนที่นี่ไม่ชอบอาหารรสเค็ม) มันส์ๆจากชีสและเห็ดผสมผสานเข้ากันอย่างดี เมนูนี้ใครจะเปลี่ยนจากเห็ดเป็นเนื้อสัตว์ก็ได้ เช่น ไก่ หมู เนื้อวัว เป็นต้น พอดีวันนั้นพ่อของนิคสั่ง(พ่อเค้าเป็นคนกินมังสวิรัต) สั่งมาเป็นไส้เห็ดเหมือนกันหมด O.o
น้ำผลไม้ปั่นที่แพมสั่งค่ะ เป็นมะม่วงกับส้ม โคตรเปรี้ยววววววววววววววว คือคนที่นี่ปั่นน้ำคือหนึ่งไม่ใส่น้ำแข็งละนะและสองคือไม่ใส่น้ำตาลอีก(นอกจากเราจะสั่ง) ยอมรับเลยว่าคุณค่าทางสารอาหารเยอะมาก ไม่มีน้ำเปล่าปนเลยสักนิด วิตามินสูงจริงๆ ใครลองไปกินรับรองไม่มีปัญหาเลือดออกตามไรฟันแน่นอน ดูดเข้าปากปุ๊บตื่นปั๊บเลย ^0^ เปรี้ยวววววววเว้ยยย ซี๊ดซ้าด
เมนูนี้ดูจากภายนอกเหมือนธงชาติประเทศเค้าเลยนอะ ลืมไปแล้วว่าชื่ออะไร มันก็เหมือนเกเซดีย่าที่แพมสั่งตอนแรกนั้นแหละ แต่จานนี้ตัดเห็ดออกไปและใส่ชีสให้น้อยลง เป็นแผ่นตอติญ่าข้าวโพดแบบธรรมดาคะ ด้านหน้าของตอติญ่า(ที่เห็นมันๆ)เค้าทาน้ำมันหมูลงไป (เหมือนเราสเปรดเนยลงบนขนมปังแต่เป็นน้ำมันหมูแทน) จากนั้นก็ราดด้วยซอสซัลซ่าสีเขียวและสีแดง และโรยด้วยชีสเม็กซิกันเหมือนเดิม สำหรับซอสซัลซ่าแพมชอบสีเขียวนะ มันให้ความรู้สึกเหมือนกินน้ำจิ้มซีฟู้ดบ้านเรา เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มีกลิ่นพริกเขียวๆ
หลังจากที่พวกเรากินข้าวเช้ากันเสร็จ พวกเราก็เดินไปเที่ยวโบสถ์ข้างๆร้าน ลืมชื่ออีกแล้ว แหะๆ(คือมันจำยาก ภาษาสเปนอีก – -“) คล้ายๆเป็นโบสถ์ประจำหมู่บ้าน อายุของโบสถ์นี้เก่าแก่มาก (ห้าร้อยกว่าปี) ข้างในโบสถ์มีสถาปัตยกรรมที่ละเอียดละออ ขอบของสิ่งปลูกปั้นเกือบทั้งหมดจะเคลือบด้วยทองคำ วันนั้นที่เราไปมีคนมาใช้สถานที่ของโบสถ์เพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา เหมือนได้ยินมาว่าเป็นวันครบ 100 วันของผู้ชายในหมู่บ้าน ซึ่งตายด้วยโรคอะไรสักอย่าง ตอนแรกนึงว่าเค้าจัดงานแต่งงานกัน เพราะตอนพวกเราเดินเข้าไปในบริเวณด้านใน เจอผู้หญิงสวยๆงามๆ แต่งตัวใส่ชุดราตรีสีแดง สีม่วง สีเขียว สีขาว ยืนถ่ายรูปกันหน้าโบสถ์ ยิ้มแฉ่งด้วยนะ (ดีใจกันเหลือเกิน ไม่แน่ใจว่ามาผิดงานรึป่าว)
ทีแรกพวกเราทั้ง 4 คน (คุณพ่อ แพม นิค และแฟนคุณพ่อ) กำลังจะเข้าไปเยี่ยมชมด้านในของตัววิหารเลย แต่เข้าไปไม่ได้ เพราะเข้ากำลังทำพิธีกรรมทางศาสนา พอดีหน้าปากประตูของตัววิหารมีไกด์ของโบสถ์ยืนเฝ้าอยู่ เค้าบอกว่าวันนี้ยังเข้าไปเยี่ยมชมข้างในไม่ได้ แต่เค้าจะพาพวกเราไปเยี่ยมชมอีกข้างบนของตัววิหารแทน ซึ่งมีทางเข้าที่สลับซับซ้อนมาก อยู่ด้านหลังของตัววิหาร
ถ้าเดินไปด้านหลังของโบสถ์แล้วขึ้นไปบันไดไปประมาณ 5 ขั้น เราจะเห็นสถาปัตยกรรมส่วนบนของวิหาร ช่วงนั้นที่เราไปมีคนงานประมาณ 3 คน กำลังช่วยกันซ่อมส่วนบนของวิหาร สงสัยชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ด้านหลังตัววิหารจะมีต้นส้มเยอะแยะมากมาย แรกๆไม่เข้าใจทำไมคนที่นี่เค้าไม่เก็บเอามาคั้นกินน้ำกัน(ว่ะ!) ถามไปถามมา คนที่นี่เค้าบอกว่ามันมีเยอะเกิน(คงเหมือนบ้านเราที่บางบ้านมีต้นมะม่วงเยอะเว่อร์ๆอ่า จนไม่อยากกิน) และอีกอย่างนึงส้มบางชนิดของที่นี่มันไม่อร่อยคือมันจะเปรี้ยวมากๆ และขม ดังนั้นจึงไม่เหมาะเอามาคั้นดื่มแต่สามารถใช้หมักเนื้อทาโก้ได้
ข้างในตัววิหาร ชั้น 2 สีทองๆสีเห็นข้างหน้านี้ไม่ใช่ทาสีทองนะคะ แต่มันเป็นทองล้วนๆ พวกเราอยูด้านบนนี้เห็นหมดเลยว่าข้างล่างเค้าทำอะไรกัน ชั้นที่เราอยู่กันนี้คือชั้น 2 จะมีคนเล่นเปียโนอยู่ข้างบนชั้นนี้ด้วย พี่ผู้ชายนักดนตรีจะฟังเสียงคนข้างล่างเค้าพูดกัน พอถึงจังหวะที่คนพูดพูดจบ เค้าก็จะบรรเลงเพลงเลย ดังกังวานในโบสถ์มาก
หลังจากที่พวกเราอยู่บนชั้น 2 ได้ประมาณ 15-20 นาที ก็ได้เวลาลงไปข้างล่างละ พอพวกเรากำลังจะลงไปชั้น 1 นิคก็เหลือบเห็นทางเป็นอุโมงค์เล็กๆ ไต่ขึ้นไปชั้นข้างบนอีก พวกเราขอให้ไกด์ช่วยนำทางไปที (ไกด์ไม่ค่อยอยากไป เพราะทางที่ขึ้นไปมันแคบ เป็นคล้ายๆทางบันไดวนขึ้นไป) คนในสมัยก่อนก็สร้างกันเก่งเนอะ เครื่องไม้เครื่องมือเครื่องจักรก็ใช่ว่าจะมี พอพวกเราเดินวนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดก็จะเจอทางออกดาดฟ้าเป็นรูเล็กๆแบบนี้เลย คนตัวเล็กๆจะออกไปได้ง่ายอยู่นะ แค่นั่งยองๆแล้วค่อยๆกระดืบๆออกไป ส่วนคนตัวใหญ่ต้องสอดหัวเข้าไปก่อนหรือตูดเข้าไปก่อนก็ได้แล้วแต่สะดวก ฮ่าฮ่าๆ มั่นใจหน่อย ว่าจะไม่ติดตูด
ดูนิคกับรูที่ลอดมา มีขนาดต่างกันมากเลย แต่เค้าก็สามารถลอดออกมาได้แบบทุลักทุเลเหมือนกันนะ นึกว่าจะติดพุงนะ(แต่ถ้ากลับไปลอดตอนนี้คงจะเหนื่อยกว่าหน่อยนะฮะ…พุงคุณชายนิคเปลี่ยนไป…เปลี่ยนไปยังไงขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าๆ)
ถือว่าคุ้มคะกับการเดินไต่ขึ้นมาในทางที่แคบๆแล้วต้องลอดผ่านรูเล็กๆอีก วิวข้างบนสวยมาก เราจะเห็นหมู่บ้านของคนที่นี่ว่าเป็นอย่างไร เหนือสุดจะเป็นภูเขาไฟ Popocatépetl ที่มีหิมะปกคลุมอยู่ด้านบน หลายคนคงจะคิดว่าเม็กซิโกเป็นประเทศที่น่าจะร้อน คิดถึงเม็กซิโกจะคิดถึงต้นกระบองเพชร ทะเลทราย คาวบอย แต่แพมอยากบอกว่ามันไม่จริงเลยค่ะ จริงที่ว่าประเทศเค้ามีต้นกระบองเพชร ทะเลทรายหรือคาวบอย แต่ภูมิอากาศของที่นี่ยังหนาวกว่าเมืองไทยหลายเท่าเลยนะคะ คือต้องใส่เสื้อหนาวตลอดเวลา ยิ่งตอนกลางคืนไม่ต้องพูดถึงเลย หนาวมากเลยค่ะ คือมันเป็นอากาศของทะเลทราย ที่กลางวันจะร้อนแห้งๆ ไม่มีไอน้ำเลย ส่วนกลางคืนจะเย็นมากๆ
ตึกที่เห็นข้างหน้านี้เป็นสิ่งก่อสร้างอีกอย่างหนึ่งในบริเวณด้านในของโบสถ์ คาดว่าน่าจะทำจากดินและหิน สีที่ทาคงจะเป็นดินจากธรรมชาติ ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าสร้างไว้เพื่ออะไร (เพราะไกด์เดินจากไปแล้ว) การมาเที่ยวโบสถ์ครั้งนี้ไม่เสียเงินค่าเข้าก็จริง แต่เวลาไกด์เค้าพาเราเที่ยวชมสถานที่เสร็จ จะมีคนยืนรอหน้าประตูทางออกกับตะกร้าทิป ประเด็นคือเราสามารถให้ทิปเค้าเท่าไหร่ก็ได้ตามจิตศรัทธาของเรา ควรจะให้นะเพราะไกด์เข้าทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ วันนั้นแพมให้ทิปเขาไปประมาณ 100 บาท หรือประมาณ 50 เปโซ เค้าไม่บังคับให้มากให้น้อยแล้วแต่เรา
** จริงๆวันนี้กิจกรรมยังไม่หมด ไปเที่ยวหลายที่มาก แต่ขอพอเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวโพสหน้าจะมาเล่าต่อเกี่ยวทริปวันที่ 3 ในเม็กซิโกคะ คอยติดตามกันเน้ออออออ ^ ^